บทที่ 2 เสียง
เสียง
เสียง เป็นคลื่นเชิงกลที่เกิดจากการสั่นสะเทือนของวัตถุ
เมื่อวัตถุสั่นสะเทือน ก็จะทำให้เกิดการอัดตัวและขยายตัวของคลื่นเสียง และถูกส่งผ่านตัวกลาง เช่น อากาศ ไปยังหู แต่เสียงสามารถเดินทางผ่านสสารในสถานะก๊าซ ของเหลว และของแข็งก็ได้
แต่ไม่สามารถเดินทางผ่านสุญญากาศได้
2.1
การเคลื่อนที่ของเสียง
เมื่อแหล่งกำเนิดเสียงสั่น
พลังงานของการสั่นจะถูกถ่ายโอนให้แก่โมเลกุลของอากาศที่อยู่รอบๆ
โดยการชนระหว่างโมเลกุล
เมื่อพิจารณาแนวการถ่ายโอนพลังงานของคลื่นเสียงกับแนวการสั่นของโมเลกุลของอากาศซึ่งเป็นโมเลกุลของตัวกลางแล้ว
จะพบว่าอยู่ในแนวเดียวกัน ดังนั้น คลื่นเสียงจึงเป็นคลื่นตามยาว
เมื่อวัตถุแหล่งกำเนิดเสียงเกิดการสั่น
จะทำให้เกิดการอัดตัวและขยายตัวของโมเลกุลอากาศต่อเนื่องสลับกันไป
เกิดการถ่ายถอดพลังงานผ่านโมเลกุลอากาศออกไป บริเวณที่อากาศอัดตัว
อากาศจะมีความดันสูงกว่าปกติ และบริเวณที่อากาศขยายตัวจะมีความดันต่ำกว่าปกติ
จากรูป
• ณ ตำแหน่งที่อากาศอัดตัว จะทำให้
ความดันอากาศสูงสุด โดยโมเลกุลที่ตำแหน่งกึ่งกลางช่วงอัดไม่มีการกระจัด
ดังนั้นตำแหน่งนี้ การกระจัดโมเลกุลอากาศเป็นศูนย์
• ณ ตำแหน่งที่อากาศขยายตัว จะทำให้ ความดันอากาศต่ำสุด โดยโมเลกุลที่ตำแหน่งกึ่งกลางช่วงอัดไม่มีการกระจัด
ดังนั้นตำแหน่งนี้ การกระจัดโมเลกุลอากาศเป็นศูนย์
• เมื่อเปรียบเทียบเฟสของกราฟความดันอากาศกับกราฟการกระจัดโมเลกุลอากาศ
พบว่ากราฟมีเฟสต่างกัน 90 องศา(โดยเฟสการกระจัดมากกว่า)
• ระยะจากกลางช่วงอัดถึงอัดที่อยู่ถัดกัน
หรือขยายถึงขยายที่อยู่ถัดกันไป จะมีระยะห่างกันเท่ากับ 1 ความยาวคลื่น
2.2 อัตราเร็วของเสียง
อัตราเร็วของคลื่นเสียง คือ
ระยะทางที่เสียงเคลื่อนที่ได้ในเวลา 1 วินาที
อัตราเร็วของเสียงขึ้นอยู่กับ
1. ความหนาแน่น ความหนาแน่นมาก
อัตราเร็วมาก
2. ความยืดหยุ่น ความยืดหยุ่นมาก อัตราเร็วมาก
3. อุณหภูมิ อุณหภูมิสูง อัตราเร็วมาก
2. ความยืดหยุ่น ความยืดหยุ่นมาก อัตราเร็วมาก
3. อุณหภูมิ อุณหภูมิสูง อัตราเร็วมาก
อัตราเร็วของเสียงในอากาศ
"สิ่งใดที่ทำให้ความหนาแน่นของอากาศเปลี่ยนแปลง โดยไม่ทำให้ความดันเปลี่ยนสิ่งนั้นย่อมเป็นเหตุให้อัตราเร็วของเสียงเปลี่ยน"
"สิ่งใดที่ทำให้ความหนาแน่นของอากาศเปลี่ยนแปลง โดยไม่ทำให้ความดันเปลี่ยนสิ่งนั้นย่อมเป็นเหตุให้อัตราเร็วของเสียงเปลี่ยน"
อุณหภูมิเปลี่ยนแปลงสามารถมีผลกระทบต่ออัตราเร็วของเสียงได้
ถ้าอุณหภูมิของอากาศเพิ่มขึ้น ณ ความดันคงที่ อากาศย่อม ขยายตัวออกตามกฏของชาร์ล และจะมีความหนาแน่นลดลงทำให้อัตราเร็วของเสียงเพิ่มขึ้นตามอุณหภูมิอัตราเร็วของเสียงในอากาศจะแปรผันโดยตรงกับอุณหภูมิ(อุณหภูมิเคลวิน)
ถ้าอุณหภูมิของอากาศเพิ่มขึ้น ณ ความดันคงที่ อากาศย่อม ขยายตัวออกตามกฏของชาร์ล และจะมีความหนาแน่นลดลงทำให้อัตราเร็วของเสียงเพิ่มขึ้นตามอุณหภูมิอัตราเร็วของเสียงในอากาศจะแปรผันโดยตรงกับอุณหภูมิ(อุณหภูมิเคลวิน)
สามารถสรุปความสัมพันธ์ได้เป็น
แต่ถ้าอุณหภูมิเป็นเซลเซียส
ได้ความสัมพันธ์ดังนี้
เสียงมีคุณสมบัติเป็นคลื่น
ดังนั้นอัตราเร็วของเสียงสามารถหา
จากสูตร
2.3 ความถี่ของคลื่นเสียง
โดยธรรมชาติของมนุษย์สามารถรับรู้ความถี่เสียงได้ตั้งแต่ 20 Hz – 20 kHz ความสามารถในการรับรู้ในย่านของความถี่นั้นก็จะแตกต่างไปซึ่งในผู้หญิงและชายหนุ่มสามารถได้ยินที่ความถี่สูงสุดที่ 20,000 Hz หรือเรียกย่อ ๆ ว่า 20 kHz ส่วนในวัยกลางคนและผู้สูงอายุจะได้ยินลดลงไปในย่านความถี่สูงสุด อาจได้สูงสุดที่ 14 kHz
ความถี่เป็นสิ่งสำคัญทำให้เราสามารถแยกแยะได้ว่าเสียงต่าง ๆ ที่เราได้ยินนั้นคืออะไรและ เพราะความหลากหลายของความถี่ที่เกิดขึ้นมาของเสียงแต่ละแบบเปรียบได้กับลายนิ้วมือของคนเรานั่นเอง ซึ่งจะมีลักษณะเฉพาะของมันเอง มันจึงทำให้เราสามารถแปลได้ว่าเสียงที่ยินคืออะไรนั่นคือ สาเหตุที่ว่าทำไมเราจึงบอกได้ว่าเสียงที่ได้ยินคืออะไร
ความถี่เป็นสิ่งสำคัญทำให้เราสามารถแยกแยะได้ว่าเสียงต่าง ๆ ที่เราได้ยินนั้นคืออะไรและ เพราะความหลากหลายของความถี่ที่เกิดขึ้นมาของเสียงแต่ละแบบเปรียบได้กับลายนิ้วมือของคนเรานั่นเอง ซึ่งจะมีลักษณะเฉพาะของมันเอง มันจึงทำให้เราสามารถแปลได้ว่าเสียงที่ยินคืออะไรนั่นคือ สาเหตุที่ว่าทำไมเราจึงบอกได้ว่าเสียงที่ได้ยินคืออะไร
ความเร็วของคลื่นเสียงนั้นเรียกว่าความถี่ (frequency) ส่วนหน่วยวัดค่าความถี่นั้นเรียกว่า เฮิรต์ซ (hertz) ใช้อักษรย่อว่า Hz
หากใช้เกณฑ์การได้ยินเสียงของหูมนุษย์
เราก็อาจจำแนกคลื่นเสียงออกได้เป็น 3 จำพวกด้วยกัน คือ
1. คลื่นเสียงที่หูมนุษย์ได้ยิน (Audible waves) ซึ่งโดยปกติแล้วความถี่ของเสียงที่หูมนุษย์ได้ยินนั้นมีค่าตั้งแต่
20 ถึง 20,000 เฮิรตซ์ อันเป็นเสียงจากเครื่องดนตรี, เสียงพูดคุยของมนุษย์
หรือเสียงจากลำโพง เป็นต้น
2. คลื่นใต้เสียง (Infrasonic waves) เป็นคลื่นเสียงที่มีความถี่ต่ำกว่าความถี่เสียงที่มนุษย์ได้ยิน
ในธรรมชาติช้างใช้เสียงในระดับ infrasonic นี้ ในการสื่อสารกับช้างตัวอื่นๆ
ซึ่งอยู่ไกลออกไปหลายกิโลเมตร และแน่นอนครับ มนุษย์เราไม่สามารถได้ยินเสียงของช้าง
เมื่อช้างสื่อสารกันด้วยความถี่เสียงระดับนี้
3. คลื่นเหนือเสียง (Ultrasonic
waves) เป็นคลื่นเสียงที่มีความถี่สูงกว่าความถี่เสียงที่มนุษย์ได้ยิน
ตัวอย่างของอุปกรณ์ที่ผลิตคลื่นเสียงความถี่สูงระดับนี้ ได้แก่
นกหวีดไร้เสียงที่ใช้เป่าเรียกสุนัขหรือแมว (silent whistle) ดังรูป
นอกจากนี้
คลื่นเสียง Ultrasonic ยังถูกนำไปใช้ประโยชน์อย่างหลากหลาย อาทิเช่น การใช้หาฝูงปลาของเรือประมง
หรือการใช้ในทางการแพทย์เพื่อสร้างภาพของทารกที่อยู่ในครรภ์มารดา ดังรูป
ภาพแสดงทารกในครรภ์ของมารดาอายุ 20 สัปดาห์
ในธรรมชาติ
ค้างคาวจัดว่าเป็นสัตว์ที่ใช้ประโยชน์จากคลื่นเสียง Ultrasonic ในการดำรงชีพ
เนื่องจากค้างคาวเป็นสัตว์หากินกลางคืน ค้างคาวจึงแทบจะไม่ใช้ตาในการมอง
แต่กลับใช้การปล่อยคลื่นเสียง Ultrasonic และรับเสียงสะท้อนกลับเพื่อบอกตำแหน่งของวัตถุต่างๆในที่มืดแทน
ดังรูป
ภาพแสดงการระบุตำแหน่งของวัตถุของค้างคาว
จะเห็นได้ว่าสัตว์แต่ละชนิด
มีขีดจำกัดในการรับฟังเสียงที่แตกต่างกัน ลองเปรียบเทียบจากตารางต่อไปนี้
2.4 ลักษณะทางกายภาพของคลื่นเสียง


1.ความดัง (Loundness) หมายถึง
ความรู้สึกได้ยินของมวลมนุษย์ว่าดังมากดังน้อย
ซึ่งเป็นปริมาณที่ไม่อาจวัดด้วยเครื่องมือใด ๆ ได้โดยตรง
ความดังเพิ่มขึ้นตามความเข้มเสียง
ความรู้สึกเกี่ยวกับความดังจะเป็นสัดส่วนโดยตรงกับระดับความเข้มเสียง โดยถ้า I แทนความเข้มเสียง
ความดังของเสียงจะแปรผันโดยตรงกับ log I หรืออาจกล่าวได้ว่า
ความดังก็คือระดับความเข้มเสียงนั่นเอง
หูของคนสามารถรับเสียงที่มีความดังน้อยที่สุดคือ 0 dB และมากที่สุดคือ 120 dB
2. ระดับเสียง (pitch) หมายถึง
เสียงที่มีความยาวคลื่นและความถี่ต่างกัน
โดยเสียงที่มีความถี่สูงจะมีระดับเสียงสูงส่วนเสียงที่มี
ีความถี่ต่ำจะมีระดับเสียงต่ำ
3. คุณภาพของเสียง (quality) หมายถึง
คุณลักษณ์ของเสียงที่เราได้ยิน เมื่อเราฟังเพลงจากวงดนตรีวงหนึ่งนั้น เครื่องดนตรี
ทุกชนิดจะเล่นเพลงเดียวกัน แต่เราสามารถแยกได้ว่า
เสียงที่ได้ยินนั้นมาจากดนตรีประเภทใด เช่น มาจากไวโอลิน หรือเปียโน
เป็นต้นการที่เราสามารถแยกลักษณะของเสียงได้นั้นเพราะว่าคลื่นเสียงทั้งสองมีคุณภาพของเสียงต่างกัน
คุณภาพของเสียงนี้ขึ้นอยู่กับ จำนวนโอเวอร์โทนที่เกิดจากแหล่งกำเนิดเสียงนั้น ๆ
และแสดงออกมาเด่น จึงไพเราะต่างกัน นอกจากนี้คุณภาพของเสียงยังขึ้นกับ
ความเข้มของเสียงอีกด้วย
2.5 การเกิดบีตส์
การเกิดบีตส์ (Beat) เป็นปรากฎการณ์จากการแทรกสอดของคลื่นเสียง 2 ขบวน ที่มีความถี่แตกต่างกันเล็กน้อย และเคลื่อนที่อยู่ในแนวเดียวกันเกิดการรวมคลื่นเป็นคลื่นเดียวกัน ทำให้แอมพลิจูดเปลี่ยนไป เป็นผลทำให้เกิดเสียงดังเสียงค่อยสลับกันไปด้วยความถี่ค่าหนึ่ง
ความถี่ของบีตส์ หมายถึง เสียงดังเสียงค่อยที่เกิดขึ้นสลับกันในหนึ่งหน่วยเวลา เช่น ความถี่ ของบีตส์เท่ากับ 7 รอบ/วินาที หมายความว่าใน 1 วินาที จะมีเสียงดัง 7 ครั้ง และเสียงค่อย 7 ครั้ง
สูตรในการคำนวณ บีตส์
ความถี่บีตส์
ตัวอย่าง ถ้าต้องการให้เกิดเสียงดังเป็นจังหวะๆ ห่างกันทุกครึ่งวินาที จะต้องเคาะส้อมเสียงซึ่งมีความถี่ 500 Hz พร้อมกับส้อมเสียงที่มีความถี่เท่าไร
วิธีทำ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น